1.บริเวณวนอุทยานถ้ำหลวง มีเนื้อที่ 12 ไร่ ตั้งอยู่ท้องที่บ้านน้ำจำ ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย เป็นที่ตั้งสำนักงาน
2.บริเวณขุนน้ำนางนอน มีเนื้อที่ 8 ไร่ ตั้งอยู่ท้องที่บ้านจ้อง ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย
สภาพภูมิประเทศ
1.บริเวณถ้ำหลวง เป็นพื้นที่หุบเขามีภูเขาสูงล้อมรอบ
2.บริเวณขุนน้ำนางนอน
เป็นพื้นที่ราบเชิงดอยมีต้นไม้ปกคลุมหนาแน่น
มีน้ำซึมผ่านมาจากรอยแยกของหินเป็นแอ่งน้ำซึ่งใสและเย็นมาก
ปากถ้ำอยู่ทิศเหนือของตัวดอย
สูงกว่าระดับพื้นดินธรรมดาประมาณ 15 ขั้นบันได
เป็นถ้ำที่มหินงอกหินย้อยเป็นจำนวนมากที่สุดถ้ำหนึ่งในเชียงราย
การเดินขึ้นไปปากถ้ำสะดวกสบายมาก เพราะไม่สูงและมีปันไดไว้ให้
ปากถ้ำกว้างประมาณ 20 เมตร ลักษณะลาดเอียงลงไปข้างล่าง คือเอียงลงในถ้ำ
ภายในไม่ราบเรียบ เต็มไปด้วยหินงอก หินย้อยตะปุ่มตะป่ำ
บางแห่งหินย้อยลงมาจากเพดานข้างบนจนจดพื้นข้างล่าง
เลยกลายเป็นลักษณะเสาค้ำเพดานไว้ก็มี
บางแห่งย้อยลงมามีลักษณะคล้ายผ้าม่านที่มนุษย์ทำขั้น
บางแห่งเวลาส่องดูด้วยไฟฟ้าเดินทางจะปรากฏมีแสงระยิบระยับสวยงามมาก
บางคนจินตนาการไปต่าง ๆ นานา เช่น เป็นห้องโถงท้องพระโรงบ้าง
ห้องนั่งเล่นบ้าง แม้กระทั่งจินตนาการเป็นรูปคน สัตว์ก็มี
หลายแห่งมีน้ำหยดลงมาจากผนังถ้ำด้านบน
บางแห่งหยดลงมานานจนกลายเป็นแอ่งน้ำเล็ก ๆ สามารถตักดื่มได้
จึงจินตนาการไปกลายเป็นบ่อน้ำทิพย์ บ่อน้ำมนต์ฤาษีบ้าง ว่ากันไปไม่รู้จบ
บ้างก็เล่าลือกันไปว่าถ้ำนี้สามารทะลุไปออกถ้ำเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่โน่น
ทีเดียว ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ภายในถ้ำมีลักษณะเป็นตะปุ่มระ
ป่ำไม่เรียบถ้าเรียบก็สามารถบรรจุคนจำนวนร้อยได้
บางแห่งกว้างราวกับหอประชุมขนาดใหญ่
มีโพรงอากาศที่ทะลุจากเพดานถ้ำด้านบนให้แสงสว่างลงมาถึงก้นถ้ำสามแห่ง
เชื่อกันว่าไม่มีใครสามารถเดินเข้าถ้ำนี้จนสุดได้ทุกซอกทุกมุมได้
เพราะว่ามีหลายหลืบ หลายชั้นมากมายเหลือเกิน
บางตอนจะต้องเดินลัดน้ำที่ลึกประมาณ 1 ศอกก็มี
แต่บางแห่งก็เป็นเพียงมีน้ำซึมเท่านั้น
พื้นถ้ำส่วนมากลื่นอาจจะหกล้มได้ง่าย บางแห่งเป็นหุบเหวยอยู่ภายในถ้ำก้มี
ทั้งนี้เนื่องจากความใหญ่โตของมันนั่นเอง
เมื่อปี 2534
มีนักทัศนาจรชาวฝรั่งสองคน
ได้มาเที่ยวที่ถ้ำหลวงแห่งนี้และพากันเข้าไปในถ้ำ
คนภายนอกถ้ำสังเกตุว่าทั้งคู่ไม่ออกมากที จึงแจ้งตำรวจและช่วยกันค้นหา
กว่าจะพบและพาออกมาได้ก็เสียเวลาไปสามวันในสภาพที่ดิดโรยเต็มที
จากนั้นจึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนมาตั้งอยู่ที่ปากถ้ำเพื่อให้คำแนะ
นำช่วยเหลือดังกว่าวมาแล้ว
สภาพภูมิอากาศ
สภาพภูมิอากาศของวนอุทยานถ้ำหลวง - ขุนน้ำนางนอน มี 3 ฤดู
คือฤดูฝน ฤดูร้อน และฤดูหนาว
สำหรับวนอุทยานถ้ำหลวงมีสภาพอากาศที่เย็นสบายถึงแม้จะเป็นฤดูร้อนเพราะอยู่
ในพื้นที่หุบเขา
จุดเด่นและแหล่งท่องเที่ยว
วนอุทยานถ้ำหลวง - ขุนน้ำนางนอน มีพื้นที่สำหรับบริการนักท่องเที่ยว 2 แห่ง มีจุดเด่นของแหล่งท่องเที่ยว 6 แห่ง คือ
1.ถ้ำหลวง ตามลักษณะของถ้ำ คำว่า "หลวง" เป็นภาษาพื้นเมือง
แปลว่าใหญ่ ถ้ำหลวงเป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่
เชื่อว่ามีความยากมากที่สุดในประเทศไทย สำรวจได้โดยประมาณ 7 กิโลเมตร
ปากถ้ำกว้างขวางมาก ภายในจะพบความงามของเกล็ดหินสะท้อนแสง หินงอก
หินย้อย ธารน้ำและถ้ำลอด แต่ละจุดจะมีชื่อเรียกตามลักษณะของบริเวณนั้น
2.ถ้ำพระ เป็นถ้ำขนาดเล็กมีความสงบร่มเย็น ชาวบ้านได้สร้างพระพุทธรูปประดิษฐานไว้ เพื่อเป็นที่สักการะบูชา
3.ถ้ำเลียงผา เป็นถ้ำที่มีเปลือกหอย อายุหลายล้านปี
(กำลังอยู่ในระหว่างการสำรวจข้อมูลที่ชัดเจน)
แต่เดิมมีคนกล่าวไว้ว่าเป็นแหล่งน้ำ
ซึ่งบริเวณนี้จะมีเลียงผามากินน้ำเป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า "ถ้ำเลียงผา"
มีความชุ่นชื้นตลอดเวลา พื้นถ้ำบางแห่งเป็นดินพุ
4.ถ้ำมัลติเทวี เป็นถ้ำขนาดเล็ก มีหินงอกคล้ายรูปพญานาค
บางครั้งเรียกว่าถ้ำพญานาค
กล่าวกันว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ปฏิบัติธรรมของพระอริยสงฆ์รูปหนึ่ง
และได้มรณะภาพภายในถ้ำนี้
5.ถ้ำทรายทอง มีความงดงามของหินงอก หินย้อย
พื้นถ้ำเดินได้สะดวก และสามารถเดินทะลุไปอีกส่วนหนึ่งของถ้ำได้
(อยู่ที่บริเวณขุนน้ำนางนอน)
6.ขุนน้ำนางนอน
เป็นแอ่งเก็บน้ำซึ่งซึมผ่านออกมาจากรอยแยกของหิน มีน้ำตลอดปี
และมีปลาหลากหลายชนิดอาศัยอยู่ มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอยู่มาก
และยังมีเส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมขาติ 1 เส้นทาง ซึ่งระยะทางประมาณ 2.6
กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินศึกษาธรรมชาติอย่างน้อย 55 นาที หรืออย่างมาก 2
ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการเลือกจุด ที่จะหยุดตามความสนใจ ซึ่งหากคุณเดินช้า
ก็จะได้รับรางวัลมากกว่าการเดินเร็ว
การคมนาคม
เดินทางได้โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 10 จากเชียงราย - แม่สาย
ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายตามป้ายชื่อ
(ปากทางเข้าอยู่บริเวณตรงข้ามโรงเรียนบ้านน้ำจำ ต.โป่งผา) วนอุทยานถ้ำหลวง
- ขุนน้ำนางนอน ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร
เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ
สำหรับเส้นทางสำรวจและศึกษาธรรมชาติ ของวนอุทยานถ้ำหลวง -
ขุนน้ำนางนอนนั้น มีจำนวน 3 เส้นทาง เส้นทางที่ยาวที่สุดมีระยะทางประมาณ
3 กิโลเมตร ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง หรือผู้ใหญ่
เส้นทางรองลงมามีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร
และเส้นทางที่สามนั้นมีระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร
เหมาะสำหรับเยาวชนหรือผู้ที่มีเวลาน้อย
ตลอดระยะเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติทั้ง 3 เส้นทางนี้
มีสิ่งที่น่าสนใจมากคือ สภาพของป่าบริเวณถ้ำหลวง จนถึงขุนน้ำนางนอน
มีสภาพเป็นป่าเบญจพรรณผสมดิบแล้ง และบางช่วงเป็นป่าโปร่ง
มีไม้ไผ่หลายชนิดขึ้นกระจัดกระจาย ไม้บนสุดที่มีเรือนยอดเด่น
มีความหลากหลายทางชีวภาพทั้งของชนิด และพันธุ์ไม้ค่อนข้างสูง
อีกทั้งหากเดินอย่างสงบจะพบสัตว์ป่าหลายชนิด เช่นหมูป่า เก้ง แมวป่า
อีเห็น กระรอก กระแต หนูหรึ่ง ส่วนจำพวกนก ได้แก่เหยี่ยว นกนางถ้ำ
นกปรอทหัวขวาน นกกระปูด
ระหว่างทางจะพบโขดหินปูนซึ่งถูกน้ำกัดเซาะสวยงาม
และข้างทางจะพบเห็ด เถาวัลย์
นอกจากนั้นช่วงทางเดินแต่ละเส้นทางระหว่างถ้ำหลวงถึงขุนน้ำนางนอน
จะพบการแบ่งเขตของป่า จากป่าเบญจพรรณสู่ป่าดิบแล้งอย่างชัดเจน
และป่าซึ่งฟื้นคืนสภาพจากการถูกทำลายและทั้ง 3
เส้นทางจะมีทางลงที่ขุนน้ำนางนอน
สิ่งที่คุณสามารถพบได้ระหว่างการเดินศึกษาธรรมชาติ
1.ไลเคน เป็นสิ่งมีชีวิตโบราณ
คืบคลานมาจากท้องทะเล เมื่อประมาณ 400 ล้านปีมาแล้ว
โดยขึ้นมาอยู่บนก้อนหิน นับเป็นปรากฏการณ์ของวิวัฒนาการบนโลกเรา
แต่ก่อนนั้นผิวโลกของเราเป็นสีน้ำตาล
ไม่มีสิ่งมีชิวิตแต่ด้วยสิ่งมีชีวิตชนิดนี้จัดได้ว่าเป็นการปฏิวัติเขียว
ซึ่งทำให้พื้นผิวโลกมีการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงไป
ไลเคนเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างดิน ทำให้พืชขนาดเล็กเกิดขึ้นได้
ซึ่งนำไปสู่การสร้างผืนป่าขนาดใหญ่
ถ้าไลเคนไม่เกิดขึ้นในขั้นแรกก็จะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นตามมาได้
รวมทั้งตัวเราด้วย
2.พรมแดนป่า
รอยต่อของป่าตรงบริเวณนี้เป็นบริเวณถิ่นที่อยู่อาศัยที่มีลักษณะเฉพาะพิเศษ
เพราะมีป่าถึงสามชนิดอยู่ใกล้ชิดติดกัน ได้แก่ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง
และป่าดงดิบ มีความหลากหลายทางพันธุ์ไม้มาก
จัดเป็นแหล่งผลิตอาหารขนาดใหญ่ในพื้นที่เล็ก ๆ
ทำให้สัตว์ป่าขนาดเล็กและใหญ่ รวมทั้งนกสามารถเคลื่อนย้ายหากินได้ง่าย
และรวดเร็ว
ในระหว่างป่าแต่ละชนิดความมหัศจรรย์ที่ทำให้พันธุ์ไม้มารวมอยู่ได้ในบริเวณ
นี้ก็เนื่องมาจากความลดหลั่นในปริมาณและคุณภาพของดิน อากาศ อุณหภูมิ
ปริมาณน้ำ และความลาดเอียงของพื้นที่
3.ต้นไผ่ เป็นหญ้าที่สูงที่
สุดในโลก มีวิวัฒนาการด้านการสืบพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยในฤดูฝนจะแตกหน่อ งอกออกมาเหมือนกับต้นแม่ภายในเวลา 3 เดือน
แล้วหน่อไผ่เหล่านี้ก็เจริญเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ
จนเมื่อวันหนึ่งบรรยากาศบริเวณนั้นขาดแคลนความชื้นในอากาศและความชื้นในดิน
มันก็จะพากันออกดอกออกผลได้เป็นพัน ๆ
เพื่อแพร่กระจายไปได้เป็นบริเวณกว้างขวาง
ซึ่งเป็นการใช้พลังงานไปอย่างมากมาย แล้วต้นแม่ก็จะตาย
ซึ่งเรียกว่าไผ่ตายขุย ในอุทยานนี้มีไผ่อยู่มากกว่า 8 ชนิด
ที่ใช้เทคนิคการสืบพันธุ์โดยวิธีดังกว่าว
4.กล้วยไม้ เงยหน้าขึ้น
จะพบกล้วยไม้ (ต้นไม้กลุ่มที่ถูกจัดเป็นพืชมีดอกสวยที่สุดในโลก)
ถูกจัดเป็นพืช เกาะอาศัย
กล้วยไม้มีรากอากาศเพื่อเก็บน้ำและมีขี้ผึ้งเคลือบใบเพื่อป้องกันความร้อน
และกระแสลมมาพัดเอาไอน้ำไปจากใบ รากสามารถดึงดูดน้ำจากอากาศ และฝน
กล้วยไม้กินแร่ธาตุจากน้ำฝนที่ไหลผ่านเปลือกไม้
กล้วยไม้มักมีรูปร่างของใบคล้าย ๆ ถ้วยเพื่อเก็บน้ำฝนให้ได้มากขึ้น
5.พูพอน
มองขึ้นไปคุณจะเห็นว่าต้นไม้ในป่าดงดิบสูงมากเพียงใด บางต้นสูงถึง 40
เมตร คุณว่ามันรักษาความสู่งเด่นของมันอย่างไร รากของมันไม่ลึกมากพอ
ต้นไม้ไม่มีรากแผ่ด้านข้างมากนัก
เพราะรากไม้จะไปประสานชนกับรากต้นไม้อื่นจึงทำให้มันไม่สามารแผ่ไปได้ไกล
ต้นไม้ในป่าดงดิบจึงสร้างขาพิเศษสำหรับเอาไว้ค้ำยันเพื่อเผชิญกับพายุแรง
ขาพิเศษนี้เรียกว่า "พูพอน"
6.เถาวัลย์ พื้นป่าดงดิบมืด
ทับ เพราะได้รับแสงน้อย ที่นี่คุณจะพบเถาวัลย์มากมาย
เถาวัลย์ต้องการแสงแดดเช่นเดียวกับต้นไม้ใหญ่
มันจึงใช้วิธีลัดด้วยการเติบโตทางด้านยาวมากกว่าด้านกว้าง ทำให้ไม่แข็งแรง
แต่ก็ขึ้นไปรับแสงได้ ด้วยการอาศัยต้นไม้อื่น
มันแตกรากออกด้านข้างเพื่อเกาะยึด ให้หนามขอเกี่ยว
เถาวัลย์ไม่ทำร้ายต้นไม้ที่มันอาศัย
ยังช่วยสานเรือนยอดต้นไม้ให้เป็นกำแพงเพื่อต้านพายุได้
7.ปลวก
ถ้าในป่าไม่มีปลวกจะเกิดอะไรขึ้น??? ปลวกเป็นสัตว์ที่มีคุณค่าอยางยิ่ง
เพระต้นไม้กิ่งไม้ที่หักลงจะถูกย่อยสบายเปลี่ยนเป็นธาตุที่มีโครงสร้างซับ
ซ้อนให้กลับมาเป็นอาหารที่พืชชนิดอื่นนำไปใช้ได้ทันที
ปลวกไม่มีน้ำย่อยในตัวของมัน
แต่อาศัยโปรตัวซัวในลำไส้ที่สามารถย่อยเนื้อไม้
มันนำไม้ปให้เห็ดราภายรังเป็นอาหาร
ปลวกก็จะพากันกินเห็ดที่งอกขั้นมาเหมือนกับสวนครัวที่คุณปลูกไว้ที่บ้าน
ในป่าทั่ว ๆ ไป
จึงจำเป็นต้องมีปลวกเพื่อทำหน้าที่หมุนเวียนแร่ธาตุอาหารให้กับนิเวศวิทยา
ของป่า
ขุนน้ำนางนอน
เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่ง
หนึ่งที่เป็นหน้าเป็นตาของอำเภอแม่สาย ตั้งอยู่บ้านจ้อง ต.โป่งผา
อ.แม่สาย ห่างจากตัวอำเภอแม่สายลงมาทางพหลโยธินประมาณ 7 กิโลเมตร
และจากปากทางเข้าไปจนถึงขุนน้ำนางนอนอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร
ระหว่างทางจะเป็นหมู่บ้านเรียงรายทั้งสองข้างทาง
เมื่อหลายปีก่อนสามารถขี่
มอเตอร์ไซค์เข้าไปข้างในได้เลย
แต่ปัจจุบันทางเจ้าหน้าที่ได้จัดที่จอดรถไว้ให้ รวมทั้งร้านอาหารด้วย
เมื่อก่อนที่ยังไม่มี่เจ้าหน้าที่มาดูแล ร้านอาหารจะตั้งอยู่ด้านใน ใกล้ ๆ
กับขุนน้ำ (ถ้ำที่มีน้ำใหลออกมา) ทำให้ดูไม่เป็นระเบียบ
ดังนั้นทางกรรมการหมุ่บ้าน
ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทั่วไปและเจ้าหน้าที่วนอุทยานได้จัดที่สำหรับตั้งร้านขาย
อาหารได้ มี 2 แห่ง คือทางด้านหน้าทางเข้าทางเดิม
และอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นทางเข้าทางใหม่ ทางด้านหลังของขุนน้ำ
ในช่วงฤดูร้อน ประมาณเดือน
มีนาคม-พฤษภาคม จะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันมากที่สุด
นิยมนำอาหารจากบ้านมาทานกันเอง บางคนก็มาหาซื้อเอาจากร้านค้า
ที่มีบริการนับสิบร้าน ภายในบริเวณขุนน้ำนางนอนมีถ้ำอยู่ 1 แห่ง
เป็นถ้ำขนาดเล็ก สามารถเดินเข้าไปชมได้ตลอดเวลา