"พระเจ้าพรหม
ในตำนานของล้านนา"
โดย พิเศษ เจียจันทร์พงษ์
ผู้ทรงคุณวุฒิกรมศิลปากร
เรื่องพระเจ้าพรหมมหาราชมีที่มาจากเรื่องราวที่
ปรากฏอยู่ในเอกสารโบราณของล้านนา
ที่มีชื่อเรียกต่างๆ กัน เมื่อต้นปี ๒๕๔๕
กรมศิลปากรได้รับเรื่องในลักษณะตำนานจากจังหวัดเชียงราย
เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาสร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราช
ตำนานที่จังหวัดเชียงรายส่งมาเรียกชื่อว่าตำนานโยนกนาคนครไชยบุรีศรีช้างแส่
น
(ฉบับวัดร่องบง)
เนื้อหาสาระของตำนานเรื่องนี้ได้มีการคัดลอกกันไปมาในสมัยโบราณ
มีการรวบรวมจัดพิมพ์ออกเผยแพร่โดยวัดในภาคเหนือเขตล้านนาแล้วหลายฉบับ
เท่าที่พบมีฉบับพิมพ์วัดเจดีย์หลวง เชียงแสน จังหวัดเชียงราย
(พ.ศ.
๒๕๑๖) กับฉบับพิมพ์วัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา (พ.ศ. ๒๕๓๘)
ในส่วนกลางที่กรุงเทพฯ
มีฉบับหอสมุดแห่งชาติที่มีการนำมาจัดพิมพ์รวมอยู่ในประชุมพงศาวดาร
ภาคที่ ๖๑ ในชื่อว่าตำนานสิงหนวัติ
แต่เป็นฉบับพิมพ์ที่มีการตัดทอนข้อความบางตอนออกไปด้วยคิดว่าไม่มีความสำคัญ
ในทางประวัติศาสตร์
พระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค)
ก็ได้เก็บความรวบรวมอยู่ในหนังสือพงศาวดารโยนก
ปริเฉท ๓ ว่าด้วยสร้างเมืองนาคพันธุนคร
นอกจากที่กล่าวมานี้ เท่าที่ทราบมีฉบับตัวเขียนอื่นๆ ที่เก็บรวบรวมตามสถาบันการศึกษาของล้านนา
และที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ ก็น่าจะมีอยู่ด้วยเช่นกัน ฯลฯ
ซึ่งเอกสารเรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อว่าตำนานสิงหนวัติ
๑. สังเขปเรื่องพระเจ้าพรหมในตำนานสิงหนวัติ
เนื้อหาสาระของตำนานสิงหนวัติมีว่า เจ้าชายสิงหนวัติเป็นโอรสองค์ที่
๒ (บางฉบับว่าเป็นองค์สุดท้อง ในโอรสทั้งหมด ๓๐ พระองค์) ของกษัตริย์กรุงราชคฤห์ในอินเดีย
โอรสองค์โตพระนามภาทิยะ เป็นผู้สืบราชสมบัติกรุงราชคฤห์ คือพระเจ้าภาทิยะพระราชบิดาของพระเจ้าพิมพิสาร
และพระเจ้าพิมพิสารคือกษัตริย์กรุงราชคฤห์ ผู้ทรงมีพระชนมายุร่วมวัยเดียวกับพระพุทธองค์ในพุทธประวัติ
ส่วนเจ้าชายสิงหนวัติทรงได้รับแบ่งราชสมบัติผู้คนเดินทางมาตั้งบ้านเมืองบนที่ราบเชียงแสนชื่อเมืองโยนกนาคพันธ์
มีทายาทสืบเชื้อสายราชวงศ์กษัตริย์กันต่อๆ มา โดยมิได้ปะปนกับชาวพื้นเมือง
(เป็นวงศ์กษัตริย์บริสุทธิ์) เมื่อแรกๆ ได้ปราบปรามพวกขอมดำ เมืองอุมงคเสลา
ชนพื้นเมืองที่อยู่มาก่อนจึงได้เป็นใหญ่อยู่ในดินแดนที่ภายหลังเป็นล้านนา
จนถึงสมัยบิดาของพระเจ้าพรหม พวกขอมได้กลับมายึดเมืองโยนกนาคพันธ์ได้
ต้องเป็นเมืองขึ้นขอมอยู่หลายปี จนพระเจ้าพรหมเติบโตทรงได้ปราบขอมดำให้พ่ายแพ้ไป
พี่ชายของพระเจ้าพรหมทรงได้ขึ้นครองเมืองโยนกนาคพันธ์ต่อไป ส่วนพระเจ้าพรหมได้ทรงแยกมาตั้งเมืองใหม่ชื่อว่าเมืองไชยปราการ
ตามหลักฐานที่บรรยายในตำนานตั้งอยู่บนฝั่งใต้ของแม่น้ำกก ในเขตท้องที่อำเภอเวียงชัย
จังหวัดเชียงราย ในปัจจุบัน
เมื่อพระเจ้าพรหมล่วงลับไปแล้ว
เมืองไชยปราการมีกษัตริย์องค์ต่อมา
คือพระเจ้าไชยศิริผู้เป็นพระโอรส ก็ถูกกองทัพเมืองสุธรรมวดีโจมตี
พระเจ้าไชยศิริต้องทรงอพยพผู้คนทิ้งเมืองหนีลงใต้ไปสร้างเมืองอยู่บริเวณ
ละแวกเดียวกันกับที่ภายหลังตั้งขึ้นเป็นบ้านเมืองกำแพงเพชร
ส่วนที่เมืองโยนกนาคพันธ์มีกษัตริย์สืบต่อจากพี่ชายของพระเจ้าพรหมสอง
พระองค์
ถึงพระเจ้ามหาไชยชนะมีคนไปหาปลาได้ปลาไหลเผือกตัวใหญ่เอามาแบ่งกันกินทั้ง
เมือง
ตกกลางคืนเมืองได้ถล่มจมลงกลายเป็นหนองน้ำเรียกว่าหนองหล่มในบัดนี้
เหลือยายแก่ที่ไม่ได้กินปลาไหลเผือกคนเดียวที่รอดตายมาได้
มาเล่าเหตุการณ์เมืองล่มให้คนทั้งหลายฟัง
จึงเป็นอันว่าเชื้อสายราชวงศ์กษัตริย์จากอินเดียได้หมดสิ้นไปจากที่ราบเชียงแสนตั้งแต่บัดนั้น
๒. เวลาในตำนานสิงหนวัติและความบิดเบือน
ตำนานสิงหนวัติมีปัญหาที่ทำให้ต้องถกเถียงกันมาแต่เดิมคือเรื่องของเวลา
ประเด็นหนึ่งคือตัวเลขศักราช เนื่องจากเป็นเอกสารต้นฉบับตัวเขียนที่คัดลอกกันต่อๆ
มา และแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง การคัดลอกเอกสารเก่าๆ ที่เป็นลายมือทำให้มีการผิดพลาดในการคัดลอก
ตัวเลขศักราชที่กำกับเรื่องราวตามต้นฉบับตัวเขียนที่พบแล้วหลายฉบับจึงอาจไม่ตรงกัน
ผิดเพี้ยนกันไปบ้าง ทำให้บางครั้งมีการถกเถียงกันว่าตัวเลขศักราชของฉบับใดจะถูกต้องมากกว่ากัน
อีกประเด็นหนึ่งคือ
ศักราชที่ใช้ในตำนานปรากฏว่ามีถึง ๓ แบบ ซึ่งตำนานเรียกว่าโบราณศักราช
ทุติยศักราช และตติยศักราช โดยไม่บอกว่าเป็นศักราชอะไร
และเนื่องจากตำนานสิงหนวัติที่ใช้กันแพร่หลายแต่เดิมในประชุมพงศาวดาร
ภาคที่ ๖๑ เป็นการถอดความจากใบลานเดิม
มีการตัดทอนข้อความที่คิดว่าไม่สำคัญออกไป
คือส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องประวัติพระพุทธศาสนา
ทำให้มีการแปลความหมายเวลาในตำนานผิดพลาดมาแต่สมัยโบราณ
ปัจจุบันได้พบตำนานสิงหนวัติอีกหลายฉบับ
มีการปริวรรตจัดพิมพ์โดยมิได้ตัดทอนข้อความใดๆ
ออกไป
และเมื่อได้วิเคราะห์เปรียบเทียบกับเรื่องราวทางศาสนาที่จะมีการกล่าวถึง
สลับกันอยู่
คือพุทธประวัติและเรื่องการสังคายนาพระไตรปิฎก
ก็จะสามารถทราบได้ว่าศักราชที่กล่าวถึงในตำนานสิงหนวัตินั้นประกอบด้วย
ที่เรียกว่าโบราณศักราชนั้นคืออัญชนะศักราช
ซึ่งเก่ากว่าพุทธศักราช
๑๔๘ ปี ทุติยศักราช ก็คือพุทธศักราช
อันเป็นจำนวนปีหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน
และตติยศักราช ก็คือมหาศักราช ซึ่งหลังกว่าพุทธศักราช ๖๒๑ ปี
โดยเฉพาะตำนานสิงหนวัติฉบับวัดร่องบงของจังหวัดเชียงรายที่ส่งไปนั้น
มีข้อดีที่ผู้คัดลอกในสมัยโบราณได้พยายามกล่าวเปรียบเทียบในเหตุการณ์แต่ละตอนว่า
ตรงกับพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วกี่ปี (คือตรงกับปีพุทธศักราชใด)
บ่อยครั้งกว่าตำนานสิงหนวัติฉบับอื่นๆ ทำให้มีตัวเทียบกับพุทธศักราชได้มากกว่า
จึงอาจกล่าวโดยสรุปว่า สาระตำนานสิงหนวัตินั้นได้สมมติเวลาว่าเกิดขึ้นก่อนพระพุทธเจ้านิพพาน
(ก่อนพุทธศักราช) ๑๔๘ ปี และเรื่องจะจบลงที่วงศ์กษัตริย์จากอินเดียหมดไป
(คือเวียงล่มจมหายไปกลายเป็นหนองหล่ม) จากดินแดนที่ราบเชียงแสนก่อนเริ่มจุลศักราช
คือก่อนพุทธศักราช ๑๑๘๑ อันเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นของเรื่องลวจกราช
ปฐมบรรพบุรุษของราชวงศ์พระเจ้ามังรายบนที่ราบเชียงแสน
ปีเกิดของพระเจ้าพรหมในตำนานฉบับวัดร่องบง ตรงกับมหาศักราช ๒๘๓
ซึ่งเป็นตัวเลขที่ถูกต้องเมื่อเทียบกับฉบับตัวเขียนอื่นๆ คือมหาศักราช
๒๘๓ ตรงกับพุทธศักราช ๙๐๔ (๒๘๓ + ๖๒๑) แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าอาจเป็นมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายแล้ว
ที่ตำนานสิงหนวัติได้ตกทอดมาสู่กรุงศรีอยุธยา ได้มีการเข้าใจผิดว่าศักราช
๒๘๓ เป็นจุลศักราช จึงมีการคำนวณโดยเข้าใจผิดว่าพระเจ้าพรหมเกิดเมื่อพุทธศักราช
๑๔๖๔ (๒๘๓ + ๑๑๘๑) ในหนังสือจดหมายเหตุโหร (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่
๘)
เรื่องการเข้าใจผิดว่ามหาศักราชเป็นจุลศักราชนี้
มีหลักฐานเป็นมาตั้งแต่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชในสมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว
ดังปรากฏเรื่องเล่าในบันทึกของลาลูแบร์
อัครราชทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาสมัยนั้น
ที่ได้ฟังจากชาวอยุธยาเกี่ยวกับปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา
ซึ่งมีลักษณะเป็นตำนานทำนองเดียวกันกับเรื่องพระเจ้าไชยศิริทรงอพยพผู้คนจาก
เมืองไชยปราการ
(เชียงราย) หนีข้าศึกลงใต้มาสร้างเมืองใหม่ในตำนานสิงหนวัติว่า
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๔๐๐ กว่าๆ
ข้อที่ทำความยุ่งยากแก่ตำนานเรื่องนี้มากขึ้นคือ เมื่อศักราชเรื่องพระเจ้าพรหมและทายาทผู้อพยพลงมาทางใต้
ถูกดึงให้ใหม่ขึ้นโดยความเข้าใจผิดถึง ๖๖๐ ปี ภายหลังได้มีการนำตำนานของคนภาคกลางเรื่องท้าวแสนปมเข้าไปต่อ
(มีหลักฐานจากเรื่องพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับของวันวลิต เขียนขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแล้ว
ที่ส่อให้เห็นแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้าพรหมเป็นต้นราชวงศ์กษัตริย์อยุธยา)
จึงทำให้เรื่องพระเจ้าพรหมและทายาทที่อพยพทิ้งเมืองไชยปราการที่เชียงราย
กลายเป็นต้นบรรพบุรุษของปฐมกษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยา คือสมเด็จพระรามาธิบดีที่
๑ พระเจ้าอู่ทอง ด้วยเหตุนี้ในแบบเรียนประวัติศาสตร์สมัยก่อนที่ศึกษาจากเรื่องตำนานแท้ๆ
อย่างเดียว โดยมิได้นำตำนานมาทำการวิพากษ์เสียก่อน จึงเรียกราชวงศ์กษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยาว่าราชวงศ์เชียงราย
๓. การทำความเข้าใจเรื่องประเภทตำนานของล้านนา
เรื่องราวที่ปรากฏสาระในเอกสารประเภทตำนานนั้น
ควรเข้าใจว่าเรื่องประเภทตำนานนั้นมิใช่เรื่องที่แสดงเรื่องราวที่ผ่านมา
อย่างตรงไปตรงมา
ตำนานบางเรื่องเป็นเพียงคำอธิบายง่ายๆ
เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
เช่น ทำไมฝนตกฟ้าร้อง การเกิดขึ้นของหนองน้ำขนาดใหญ่ ฯลฯ
ตำนานบางเรื่องเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับกำเนิดของบ้านเมืองผู้คน
ซึ่งคำอธิบายเหล่านี้ก็มีหลายระดับ
ขึ้นอยู่กับภูมิความรู้ของผู้รู้ในสมัยโบราณ
ผู้สร้างคำอธิบาย
ตำนานประเภทนี้อาจมีที่มาจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับบรรพบุรุษคนสำคัญในอดีต
ซึ่งได้รับความเชื่อถือในลักษณะของการเป็นผีของชนเผ่ามาก่อน
ต่อมาภายหลังก็ได้รับการเสริมเติมแต่งเรื่องราวให้พิสดารยิ่งขึ้น
เรื่องที่นำมาตกแต่งเพิ่มเติมเท่าที่พบส่วนมากจะได้เค้าโครงมาจากเรื่องใน
ชาดก
ตำนานบางเรื่องก็แต่งขึ้นจากเค้าโครงเดิมที่เป็นคติในทางศาสนา
ดังเช่นเรื่องในตำนานสิงหนวัติ
อันเป็นเรื่องตำนานที่จะกล่าวเน้นเป็นสำคัญในบทความนี้ ฯลฯ
ดังนั้นก่อนที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าพรหมที่เป็นเรื่องอยู่ในตำนานสิงหนวัติต่อไป
ในที่นี้ควรที่จะทราบเกี่ยวกับคติในทางพุทธศาสนาที่สำคัญที่ควรทราบ
อันเป็นพื้นฐานที่จะเข้าใจเรื่องในตำนานที่จะกล่าวถึงต่อไป
๓.๑ เรื่องของวงศ์กษัตริย์ในโลกนี้ ปรากฏอยู่ในอัคคัญสูตร ทีฆนิกายปาฏิกวัคค์
ในพระสุตตันตปิฎก ความว่า เมื่อไฟได้เผาผลาญสรรพสิ่งและชีวิตทั้งหลายในกัปป์ที่แล้วหมดไป
ฝนตกน้ำท่วมดับไฟแล้ว และน้ำลดลง เกิดทวีป ๔ ทวีป กับอีก ๒,๐๐๐
อนุทวีป กัปป์ใหม่ชื่อว่าภัททกัปป์ อันเป็นกัปป์ปัจจุบันได้เกิดขึ้น
กัปป์นี้มีพระโพธิสัตว์ที่พร้อมแล้วจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ๕
พระองค์ ได้สถิตรออยู่แล้วในสวรรค์ชั้นดุสิต
ในช่วงเวลาที่แรกเกิดภัททกัปป์ ยังไม่มีพระโพธิสัตว์พระองค์ใดลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านี้เรียกว่าช่วงเวลาปฐมกัปป์
พรหมทั้งหลายในชั้นอกนิฏฐา ได้กลิ่นหอมของดินที่เกิดขึ้นใหม่ๆ จึงลงมาเกิดเองเป็นมนุษย์ในโลก
๘๔,๐๐๐ คน เมื่อแรกกินดินเข้าไปกิเลสตัณหาทั้งหลายก็ได้พัฒนาขึ้นในมนุษย์เหล่านั้น
แรกก็เป็นเรื่องราคะที่เกิดขึ้นก่อน มนุษย์จึงเกิดมีเพศชายหญิง
เสพผสมพันธุ์กันเกิดลูกหลานเป็นมนุษย์สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเวลาล่วงนานเข้า ความเสื่อมโทรมในโลกมนุษย์ก็มีมากขึ้น อาทิ
อาหารที่มีอยู่เองทั่วไปอย่างไม่จำกัดก็ไม่เหมือนเดิม ต้องมีการเพาะปลูก
สะสม แบ่งที่ดินทำกิน ฯลฯ เกิดการแย่งชิงทะเลาะเบาะแว้งไม่มีความสงบ
พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๔ คือพระโคตมะโพธิสัตว์จึงลงมาเกิดเป็นมนุษย์
มหาชนทั้งหลายจึงแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ คำว่ากษัตริย์มีความหมายว่าผู้เป็นใหญ่แห่งนา
และด้วยเหตุที่มหาชนร่วมกันแต่งตั้งขึ้น ปฐมกษัตริย์จึงมีพระนามว่าพระมหาสมมติ
ตำนานของล้านนาบางฉบับเรียกว่าพระสมันตราชก็มี พระมหาสมมติปฐมกษัตริย์ได้ทำหน้าที่แบ่งปัน
ดูแลตัดสินข้อขัดแย้งในด้านทรัพยากร มหาชนจึงมีความสงบสุข กษัตริย์จึงได้รับการเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระราชา
คือผู้ที่ทำความสุขใจให้แก่ผู้อื่น
พระมหาสมมติเป็นกษัตริย์ปกครองประชาชนอยู่ช่วง
เวลาหนึ่งก็สวรรคต
กลับไปเป็นพระโพธิสัตว์อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตอย่างเดิม
ในโลกมนุษย์ก็มีวงศ์วานว่านเครือปกครองบ้านเมืองกันต่อๆ
มาจำนวนนับไม่ถ้วน ผ่านเวลาของพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑
คือพระพุทธกกุสันธะ
พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ คือพระพุทธโกนาคม พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓
คือพระพุทธกัสสปะ
จนถึงเวลาของพระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบัน คือพระพุทธโคตมะ
เชื้อสายของพระมหาสมมติก็ได้เป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมืองทั้งหลายในชมพูทวีป
ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ของพระเวสสันดร
หรือราชวงศ์ของเจ้าชายสิทธัตถะ
(ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธโคตมะ พระพุทธเจ้าของเราปัจจุบัน)
ก็ล้วนแต่สืบสายตระกูลมาจากพระมหาสมมติทั้งสิ้น
เพราะวงศ์กษัตริย์ในโลกตามคติเดิมของชาวอินเดียนั้นถือว่ามีเพียงวงศ์เดียว
จากแนวคิดเกี่ยวกับวงศ์กษัตริย์ในพระไตรปิฎกเช่น
นี้ เมื่อพิจารณาตำนานสิงหนวัติที่กล่าวว่า
เจ้าชายสิงหนวัติกุมารเป็นโอรสกษัตริย์กรุงราชคฤห์
นำไพร่พลเสด็จมาตั้งเมืองโยนกนาคพันธ์บนที่ราบเชียงแสน
โดยเดินทางข้ามแม่น้ำสรภูมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้นั้น
แสดงว่าตำนานเรื่องนี้ต้องการจะชี้ว่าราชวงศ์กษัตริย์วงศ์นี้มาจากชมพูทวีป
(คืออินเดีย) สืบเชื้อสายมาจากพระมหาสมมติปฐมกษัตริย์
ชื่อแม่น้ำสรภู
ก็เป็นชื่อแม่น้ำหนึ่งในปัญจมหานทีในชมพูทวีปตามที่ระบุอยู่ในอัคคัญสูตร
นั่นเอง
เมื่อเป็นกษัตริย์ครองเมืองโยนกนาคพันธ์สืบต่อๆ
กันมา ตำนานสิงหนวัติก็กล่าวว่าไม่มีการผสมกับไพร่เมือง
คือเป็นวงศ์กษัตริย์บริสุทธิ์ ไม่ผสมปนเปกับคนพื้นเมืองท้องถิ่น
ดังนั้นเมื่อตอนสุดท้ายที่กล่าวถึงเมืองล่มจมหาย
เพราะคนกินปลาไหลเผือก
กลายเป็นหนองหล่ม ในท้องที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
มาถึงบัดนี้นั้น
เชื้อสายวงศ์กษัตริย์ที่อยู่ในเมืองตายหมด
ไพร่บ้านที่อยู่นอกเมืองจึงตกลงกันเลือกโภชกนายบ้านขึ้นมาปกครองกันเอง
การที่ไม่ได้ให้โภชกนายบ้านเป็นกษัตริย์
ก็เพราะผู้แต่งตำนานเรื่องนี้ต้องการชี้ให้เห็นความชอบธรรมของผู้ที่จะได้
ราชาภิเษกเป็นกษัตริย์นั้นว่า
ต้องเป็นวงศ์กษัตริย์ที่สืบต่อๆ กันมา ซึ่งมีอยู่วงศ์เดียวในโลก
คือวงศ์ของพระมหาสมมติ คนพื้นเมืองไม่มีสิทธิ์เป็นกษัตริย์
ก่อนเวลาที่เวียงโยนกล่มสิ้นวงศ์กษัตริย์นั้น
ตำนานสิงหนวัติได้กล่าวถึงพระเจ้าพรหม
ซึ่งทรงแยกไปสร้างเวียงไชยปราการ (ซึ่งพิจารณาตามสาระในตำนานเดิม
ควรอยู่ประมาณท้องที่อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ในปัจจุบัน)
ดังนั้นจึงยังคงมีวงศ์กษัตริย์อยู่ที่เมืองนี้อีกเมืองหนึ่ง
แต่เมื่อถึงรุ่นลูกของพระเจ้าพรหมในช่วงเวลาก่อนการตั้งจุลศักราช
ก็ต้องหนีภัยข้าศึกทิ้งบ้านเมืองอพยพผู้คนไปจนหมด
ลงไปตั้งหลักแหล่งบ้านเมืองใหม่ใต้ลงไป
(เชื่อกันว่าตรงกันกับเมืองไตรตรึงส์
ในจังหวัดกำแพงเพชรปัจจุบัน)
ด้วยเหตุนี้ตำนานสิงหนวัติจึงต้องการชี้ให้เห็น
ว่า ในที่สุดในสมัยเวลาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
(ก่อน พ.ศ. ๑๑๘๑ อันเป็นปีตั้งจุลศักราช)
พื้นที่ราบเชียงแสนปราศจากวงศ์กษัตริย์จากชมพูทวีปอย่างสิ้นเชิง
ทั้งนี้เพื่อเตรียมพื้นที่รองรับราชวงศ์ใหม่ คือวงศ์ลาวจก
ต้นผีบรรพบุรุษของพระเจ้ามังรายที่จะลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ปกครองที่ราบเชียง
แสนต่อไป
ตั้งแต่จุลศักราช ๑ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๑๑๘๑
๓.๒ เรื่องความเจริญความเสื่อมของบ้านเมือง เป็นคติทางพระพุทธศาสนาอีกเรื่องหนึ่งที่ควรทราบ เพื่อเป็นแนวคิดในการนำมาพิจารณาตำนานของล้านนาและตำนานอื่นๆ ในสยามประเทศได้อีกเรื่องหนึ่ง มีปรากฏในพระไตรปิฎกในตอนต้นเรื่อง มหาสุทัสสนสูตร ทีฆนิกาย มหาวัคค์ ความว่า
เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาถึงราวป่าเมืองกุสินารา
เพื่อเตรียมเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ ที่นั้น พระอานนท์จึงถามพระพุทธองค์ว่า
ทำไมทรงเลือกเมืองกุสินารา ซึ่งเป็นเมืองเล็กสำหรับเป็นที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน
ทำไมไม่ทรงเลือกเมืองใหญ่ที่มีพระราชามหากษัตริย์เป็นพุทธสาวก ให้เหมาะสมกับการเสด็จปรินิพพานอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์
พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์มิให้คิดเช่นนั้นเป็นสำคัญ เพราะบ้านเมืองต่างๆ
ที่เป็นเมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ ในอดีตกาลนั้นต่างก็เคยเป็นเมืองไม่ใหญ่ก็เล็กมาก่อนทั้งสิ้น
ดังเช่นเมืองเล็กคือเมืองกุสินาราในปัจจุบัน ในอดีตอนันตกาลก็เคยเป็นเมืองใหญ่
ชื่อเมืองกุสาวดีของพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามพระเจ้ามหาสุทัสสนะมาก่อนแล้ว
หลังจากนั้นก็เป็นการบรรยายความใหญ่โตมโหฬารของ
เมืองพระเจ้าจักรพรรดิอย่างยืดยาว
ซึ่งประเด็นสำคัญของพระสูตรเรื่องนี้นั้น
ก็เพื่อแสดงให้เห็นความไม่เที่ยงแท้ของบ้านเมืองที่มีการเกิดและล่มสลายสลับ
สับเปลี่ยนกันไป
เหมือนเมืองกุสาวดีของพระเจ้าจักรพรรดิพระเจ้ามหาสุทัสสนะที่ยิ่งใหญ่
ในที่สุดก็ต้องสิ้นสลายไป
มาบัดนี้ได้เกิดเป็นบ้านเมืองขึ้นมาใหม่อีกกลายเป็นเมืองขนาดเล็กชื่อเมือง
กุสินารา
แนวคิดเช่นนี้เห็นได้ว่ามีการนำมาแต่งตำนานของล้านนาด้วย ซึ่งในการพิจารณาเรื่องตำนานสิงหนวัติ
ควรพิจารณาประกอบกับตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ ซึ่งจัดอยู่ในประชุมพงศาวดาร
ภาคที่ ๗๒ จึงจะสามารถทำความเข้าใจได้กระจ่างที่จะโยงไปยังตำนานอีกเรื่องหนึ่ง
คือเรื่องของลาวจกต้นวงศ์ของพระเจ้ามังราย
ตำนานสุวรรณโคมคำ กำหนดเวลาของเรื่องตั้งแต่สมัยปฐมกัปป์ กล่าวตามอัคคัญสูตรที่เกิดแผ่นดิน
๔ ทวีป เกิดสรรพสิ่งต่างๆ ในโลกมนุษย์ และเกิดแผ่นดินที่ราบเชียงแสนอันเป็น
๑ ใน ๒,๐๐๐ อนุทวีป คนสัตว์ทั้งหลายก็ได้เข้ามาอยู่อาศัย เวลาล่วงเลยผ่านสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่
๑ คือพระพุทธกกุสันธะ มาจนถึงสมัยปลายของพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ คือพระพุทธโกนาคม
ครั้งนั้นเกิดโรคระบาดในชมพูทวีป วงศ์กษัตริย์เชื้อสายพระมหาสมมติพระองค์หนึ่งพร้อมพระมเหสีทรงหนีโรคระบาดเสด็จมาถึงเมืองของพวกขอมดำ
และได้เกิดโอรสพระองค์หนึ่ง ด้วยบุญญาธิการในระยะเวลาต่อมาพระโอรสองค์นี้ทรงได้มีอำนาจเหนือพวกขอมดำ
เป็นกษัตริย์ครองเมืองโพธิสารหลวง (คือเมืองพระนครหลวง หรือเมืองนครธมในกัมพูชา)
ต่อมาทรงได้อภิเษกสมรสกับราชธิดาผู้สืบวงศ์กษัตริย์จากพระมหาสมมติเหมือนกัน
ผู้ซึ่งเดินทางหนีโรคระบาดมาอยู่ในดินแดนแห่งนี้ด้วยอีกผู้หนึ่ง
เชื้อสายกษัตริย์พระมหาสมมติวงศ์แห่งเมืองโพธิสาร
หลวงพระองค์หนึ่ง
ในเวลาต่อมาได้เกิดเหตุถูกใส่ร้ายจากขุนนางที่เป็นพวกขอมดำ
ต้องออกจากบ้านเมือง
เสด็จขึ้นมาตามลำน้ำโขง
ถึงบริเวณปากแม่น้ำกกของบริเวณที่ราบเชียงแสน
จึงตั้งเมืองขึ้น ณ ที่นั้น ชื่อเมืองสุวรรณโคมคำ
ส่วนที่เมืองโพธิสารหลวงภายหลังกษัตริย์วงศ์พระมหาสมมติที่นั่นทรงได้ทราบ
ข้อเท็จจริง
จึงคืนดีกันกับกษัตริย์เมืองสุวรรณโคมคำ
และขับไล่พวกขอมดำออกจากเมือง
ขอมดำบางพวกได้ขึ้นมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเมืองสุวรรณโคมคำ
บางพวกไปตั้งบ้านเมืองที่ต้นแม่น้ำกก
ชื่อเมืองอุมงคเสลา
วงศ์กษัตริย์พระมหาสมมติทรงปกครองเมืองสุวรรณโคมคำสืบต่อกันมาจำนวนนับไม่ถ้วน
ตำนานสุวรรณโคมคำกล่าวว่า กษัตริย์บางพระองค์ที่ดีก็มีที่ไม่ดีก็มี
ครองเมืองมาจนถึงสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ คือพระพุทธกัสสปะ ก็สิ้นกษัตริย์วงศ์พระมหาสมมติแห่งเมืองสุวรรณโคมคำ
พวกขอมดำได้เข้ามาอยู่ครอบครองเมืองแทน
ครั้งหนึ่งขอมดำเมืองสุวรรณโคมคำคดโกงพ่อค้าที่
เป็นคนดี พญานาคผู้มีความสัมพันธ์ชอบพอกับพ่อค้าจึงโกรธ
ขึ้นมาคุ้ยควักถล่มทลายเมืองสุวรรณโคมคำจมแม่น้ำโขงไป
พวกขอมดำจึงหนีกระจัดกระจายไปทั่วทั้งสองฟากแม่น้ำโขง
บ้างก็กลับไปเมืองอุมงคเสลา บ้างหลบซ่อนอยู่ตามป่าเขา
ซึ่งพวกขอมดำเหล่านี้ตำนานต้องการจะอธิบายที่มาของคนผิวดำที่เป็นอนารยชน
ที่พบกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์
เผ่าพันธุ์หนึ่งที่รู้กันดีในปัจจุบันคือพวกขมุ
จากตำนานเมืองสุวรรณโคมคำที่กล่าวผ่านมา เมื่อพิจารณาประกอบกับตำนานสิงหนวัติ
จะเห็นว่าตำนานทั้งสองแต่งขึ้นให้มีความสืบเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน
เพื่อแสดงว่าบนพื้นที่ราบเชียงแสนอันเป็นหนึ่งใน ๒,๐๐๐ อนุทวีปที่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้
ได้เคยเป็นบ้านเมืองที่มีวงศ์กษัตริย์สืบมาแต่พระมหาสมมติได้เข้ามาปกครอง
เมืองแรกคือเมืองสุวรรณโคมคำ ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒-๓ แต่ก็ต้องล่มจมลงในแม่น้ำโขงไป
ต่อมาถึงสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ก็เป็นบ้านเมืองใหม่ของพระเจ้าสิงหนวัติ
คือเมืองโยนกนาคพันธ์ แต่ในที่สุดเมืองก็ล่มจมหายกลายเป็นหนองหล่มไปอีก
ทั้งหมดก็เพื่อปูทางไปสู่เรื่องในตำนานอีกเรื่อง
หนึ่ง คือตำนานลาวจก
ผู้เป็นต้นผีบรรพบุรุษของพระเจ้ามังราย
ผู้จะสร้างบ้านเมืองขึ้นมาใหม่บนที่ราบเชียงแสนอีกครั้งหนึ่ง
คือเมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสน
แต่ครั้งนี้ผู้เป็นกษัตริย์เป็นวงศ์พื้นเมืองที่มิได้สืบมาจากพระมหาสมมติ
ตามเรื่องที่กล่าวผ่านมา
๓.๓ ตำนานลาวจก หรือลวจกราช
เป็นเรื่องที่นำมาพิมพ์ต่อจากตำนานสิงหนวัติในประชุมพงศาวดาร
ภาคที่ ๖๑ เนื้อเรื่องสืบเนื่องมาจากตำนานสิงหนวัติเช่นกัน
โดยเล่าว่าหลังจากเมืองโยนกนาคพันธ์ล่มสลายสิ้นวงศ์กษัตริย์พระมหาสมมติแล้ว
พระเจ้าอนิรุธทรงได้ลบศักราชเดิม ตั้งจุลศักราชขึ้นมาใหม่
หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้
๑๑๘๑ ปี (พ.ศ. ๑๑๘๑)
พระเจ้าอนิรุธจึงทรงเรียกกษัตริย์เมืองต่างๆ
เพื่อมาประชุมรับทราบการลบศักราชเก่า
ตั้งศักราชใหม่ของพระองค์
ครั้งนั้นไม่มีกษัตริย์จากบริเวณที่ราบเชียงแสนมาประชุม
เนื่องจากวงศ์กษัตริย์ได้สูญสิ้นไปแล้วตั้งแต่เวียงโยนกนาคพันธ์ล่มและวงศ์
กษัตริย์เมืองไชยปราการอพยพหนีข้าศึกลงใต้
พระเจ้าอนิรุธจึงทรงขอให้พระอินทร์ขึ้นไปเชิญเทพบุตรลาวจกที่อยู่บนสวรรค์ลง
มาเป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมืองที่ว่างกษัตริย์แห่งนี้
ที่มาของลาวจกมีกล่าวอยู่ก่อนแล้วในตำนานสิงหนวัติ และในตำนานพระธาตุดอยตุงว่า
เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าโคตมะ พระพุทธเจ้าของเราเสด็จดับขันธปรินิพพาน
พระมหากัสสปะอรหันต์ได้นำพระธาตุรากขวัญเบื้องซ้าย (กระดูกไหปลาร้า)
มายังเมืองโยนกนาคพันธ์ ตามคำทำนายของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังทรงพระชนมายุอยู่
และได้เคยเสด็จมา ณ ที่นี้ ขณะนั้นกษัตริย์เมืองโยนกเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเจ้าชายสิงหนวัติ
จึงได้มาขอซื้อที่บนดอยตุงจากลาวจกเพื่อเป็นที่สถาปนาพระธาตุ และได้สร้างสถูปขึ้นโดยให้ปู่เจ้าลาวจกกับเมียเฝ้าดูแลรักษา
ปู่เจ้าลาวจกกับเมียคือย่าเจ้าลาวจกดูแลรักษาพระ
ธาตุเป็นเวลาถึง
๒๐๐ ปีก็ตาย เมื่อตายแล้วด้วยผลบุญที่เฝ้าปรนนิบัติพระธาตุมานาน
จึงได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดาบนสวรรค์
เมื่อแผ่นดินที่ราบเชียงแสนว่างกษัตริย์ลง
พระอินทร์จึงเชิญให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์
เทพบุตรเทพธิดาทั้งคู่ได้เนรมิตบันไดเงินเป็นทางลงมาบนแผ่นดินนี้
อุปปาติกะกำเนิดคือเกิดเป็นตัวตนมนุษย์ชายหญิงอายุ ๑๖ ปี
สร้างเมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสนขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองมีลูกหลานสืบต่อ
กันมาจนถึงพระเจ้ามังราย
ปฐมกษัตริย์ผู้เสด็จไปสร้างเมืองเชียงใหม่ต่อมา
ตำนานเรื่องปู่เจ้าลาวจกหรือลวจกราชกับเมีย ลงมาจากสวรรค์อุปปาติกะกำเนิดเป็นมนุษย์อายุ
๑๖ ปี สร้างเมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสน ต้นบรรพบุรุษของพระเจ้ามังรายนี้
ปรากฏอยู่ในตอนต้นของตำนานเมืองพะเยา และตำนานเมืองเชียงแสนในประชุมพงศาวดาร
ภาคที่ ๖๑ และตอนต้นของตำนานเมืองเชียงใหม่ ที่มีการตีพิมพ์โดยสถาบันการศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่หลายฉบับ
ซึ่งบางฉบับก็มีชื่อเรียกต่างกันออกไปบ้างก็มี
กล่าวโดยสรุป เมื่อพิจารณาตำนานของล้านนาอันเป็นเรื่องหลักสำคัญ
๓ เรื่อง คือเรื่องเมืองสุวรรณโคมคำ ตำนานสิงหนวัติ และตำนานลาวจก
รวมทั้งตำนานพระธาตุดอยตุง จังหวัดเชียงราย จะสามารถประมวลเรื่องราวได้ว่า
เป็นคำอธิบายในสมัยโบราณเกี่ยวกับการเกิดขึ้นมาของแผ่นดินที่ราบเชียงแสน
อันเป็นแผ่นดินบรรพบุรุษกษัตริย์ราชวงศ์มังราย ผู้ครอบครองดินแดนล้านนาในเวลาต่อมา
มีความชัดเจนว่าคำอธิบายการเกิดขึ้นของแผ่นดิน บ้านเมืองที่มีวงศ์กษัตริย์ปกครองที่เกิดขึ้นแล้วล่มสลายไป
๒ ครั้ง มีที่มาจากพระสูตรสำคัญในพระสุตตันตปิฎก คืออัคคัญสูตร
และมหาสุทัสสนสูตร เป็นการแสดงถึงหลักธรรมคือ ความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่งในโลก
ที่เมื่อเกิดมาได้ก็ต้องสิ้นสุดลงหาความแน่นอนไม่ได้
ส่วนเรื่องวงศ์กษัตริย์ที่สืบมาจากพระมหาสมมติที่
ได้ครอบครองเมืองทั้งสองนั้นก็เป็นการแสดงแนวคิดเกี่ยวกับวรรณะกษัตริย์ที่
สืบมาแต่สมัยโบราณในชมพูทวีป
ที่มีความชอบธรรมในการสืบสันตติวงศ์ขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมือง
อันเป็นการถือความสำคัญของการสืบสายเลือดในวงศ์ตระกูล
ตำนานล้านนาทั้งหลายล้วนแต่แต่งขึ้นโดยพระภิกษุ
ที่ทรงภูมิรู้ในสมัยล้านนา
ซึ่งปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์ของพระเจ้ามังราย
การที่จะแสดงความชอบธรรมของราชวงศ์มังรายที่มีอำนาจขึ้นเป็นกษัตริย์ครอบ
ครองบ้านเมืองเริ่มแรกในพื้นที่ราบเชียงแสนเป็นครั้งที่
๓ ต่อจากวงศ์กษัตริย์สิงหนวัติ
ให้มีเชื้อสายสืบมาจากพระมหาสมมตินั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้
เพราะกษัตริย์ราชวงศ์ในตำนานพระเจ้ามังรายมีคติความเชื่อพื้นเมืองที่สืบต่อ
กันมาอยู่แล้วก่อนรับพระพุทธศาสนา
เกี่ยวกับต้นผีบรรพบุรุษของตนคือปู่เจ้าลาวจกซึ่งสถิตอยู่บนดอยตุง
หลักธรรมอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการ
เป็นธรรมทายาท
จึงถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความกลมกลืนกับคติพื้นเมืองที่นับถือผีบรรพบุรุษ
ดังจะเห็นจากตอนหนึ่งในตำนานสิงหนวัติและตำนานพระธาตุดอยตุง
ที่เล่าถึงเวลาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน
พระมหากัสสปะอรหันต์ได้นำพระธาตุรากขวัญมายังดินแดนโยนกนาคพันธ์
กษัตริย์เมืองโยนกได้ขอซื้อที่ดินปู่เจ้าลาวจกบนดอยตุง
เพื่อสถาปนาพระธาตุรากขวัญ
ปู่เจ้า-ย่าเจ้าลาวจกได้เฝ้าปรนนิบัติพระธาตุบนดอยตุงถึง ๒๐๐ ปี
เมื่อตายจึงไปเกิดบนสวรรค์
รอเวลาเมื่อบ้านเมืองบนที่ราบเชียงแสนว่างกษัตริย์ลง
พระอินทร์จึงขึ้นไปอัญเชิญลงมาอุปปาติกะกำเนิดเป็นมนุษย์ชายหญิง
ลวจกราชสร้างเมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสน
เป็นกษัตริย์ต้นราชวงศ์ของพระเจ้ามังรายสืบต่อมา
ปู่เจ้า-ย่าเจ้าลาวจกที่ได้เฝ้าปรนนิบัติพระธาตุ
จึงหมายถึงต้นผีบรรพบุรุษของพระเจ้ามังรายตามคติพื้นเมืองที่ภายหลังต่อมา
ได้รับนับถือพระพุทธศาสนา
เท่ากับเป็นธรรมทายาท
คือผู้สืบต่อจากพระพุทธองค์ผู้ทรงมีวรรณะเดิมเป็นวรรณะกษัตริย์
ราชวงศ์ของพระเจ้ามังรายจึงมีความชอบธรรมที่จะเป็นกษัตริย์ครองแผ่นดินล้าน
นา
แม้มิได้สืบสายเลือดมาจากพระมหาสมมติก็ตาม
แต่ก็ถือได้ว่าเป็นผู้สืบสันดานอย่างแท้จริงโดยทางธรรมจากพระพุทธองค์
ดังนั้นเรื่องในตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ ตำนานสิงหนวัติ และตำนานลาวจก
จึงมิใช่เรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เป็นความจริงในระดับโลกย์ธรรม
แต่จะเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ความคิดของคนในช่วงเวลาหนึ่ง ที่มองโลกผ่านแนวคิดตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
ผสมผสานกับคติพื้นเมือง เป็นการมองข้ามความจริงทางโลกย์ธรรม เพื่ออธิบายความจริงในระดับโลกุตรธรรม
หมายเหตุ มีหลายพระสูตรในพระสุตตันตปิฎก
ที่กล่าวถึงการถกเถียงปัญหาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพราหมณ์
ในประเด็นเรื่องวรรณะกษัตริย์มีความสำคัญมากกว่าวรรณะพราหมณ์
ซึ่งในตอนท้ายก็จะมีการสรุปว่า
แม้วรรณะกษัตริย์จะมีความสำคัญมากกว่า
แต่ผู้ที่นับถือปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
ก็มีความหมายยิ่งกว่าการอยู่ในวรรณะใดๆ ทั้งสิ้น
นั่นคือพระพุทธศาสนาให้ความสำคัญการสืบทอดทางสันดานมากกว่าการสืบทอดทางสาย
โลหิต
พระธรรมข้อนี้พิจารณาได้จากพระสูตรในพระสุตตันตปิฎก เช่น โสณทัณฑสูตร
อัมพัฏฐสูตร เป็นต้น
๔. ความหมายของเรื่องพระเจ้าพรหมในตำนานล้านนา
ดังได้กล่าวแล้วถึงเรื่องพระเจ้าพรหมว่า ปรากฏอยู่ในตำนานสิงหนวัติ
ซึ่งในการจัดลำดับเวลาในตำนานเรื่องสิงหนวัติ (ซึ่งรวมทั้งเรื่องของพระเจ้าพรหมด้วย)
จะต้องสิ้นสุดลงก่อน พ.ศ. ๑๑๘๑ อันเป็นเวลาเริ่มต้นของตำนานลาวจก
แต่ด้วยความสับสนในเรื่องเวลามหาศักราชที่เข้าใจผิดว่าเป็นจุลศักราช
ทำให้เรื่องของพระเจ้าพรหมถูกยืดเวลาให้ใหม่ขึ้นอีก ๖๖๐ ปี กลายเป็นเรื่องเมื่อประมาณ
พ.ศ. ๑๔๐๐ เศษ และถูกนำมาต่อเข้ากับตำนานภาคกลางเรื่องท้าวแสนปม
ดังนั้นเรื่องพระเจ้าพรหมจึงกลายเป็นตำนานต้นบรรพบุรุษของกษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยา
ความเชื่อเช่นนี้มีมาตั้งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยาแล้ว อย่างน้อยก็ตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเริ่มแรกมีการศึกษาทางประวัติศาสตร์ขึ้นในประเทศไทย
ผู้รู้ที่ศึกษาทางด้านนี้ล้วนเป็นนักวิชาการในส่วนกลาง ประวัติศาสตร์ไทยที่แรกเริ่มศึกษากัน
จึงใช้ข้อมูลจากเอกสารที่มีลักษณะการมองออกไปจากศูนย์กลางเป็นหลัก
เรื่องตำนานพระเจ้าอู่ทอง ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยา มีบรรพบุรุษสืบมาจากพระเจ้าพรหมแห่งเมืองเชียงรายโบราณ
จึงได้รับการเรียนรู้สืบกันต่อมาโดยระบบโรงเรียน หาใช่โดยระบบความเชื่อที่มีสืบต่อกันมาในท้องถิ่นไม่
แท้ที่จริงแล้ว
หากกลับมาพิจารณาเรื่องพระเจ้าพรหมที่ปรากฏในตำนานท้องถิ่นของล้านนาเองก็จะ
เห็นว่า
มิใช่วัตถุประสงค์หลักของตำนานท้องถิ่นแต่อย่างใดที่มีการเล่าเรื่องพระเจ้า
พรหม
เพราะโดยรวมของตำนานทั้งตำนานเมืองสุวรรณโคมคำและตำนานสิงหนวัติ
ก็มีความเพียงพอที่จะอธิบายการเกิดขึ้นและล่มสลายลงของบ้านเมืองบนที่ราบ
เชียงแสน
ที่มีกษัตริย์สืบจากวงศ์พระมหาสมมติปกครองอยู่
ก่อนที่จะตั้งขึ้นมาใหม่ในครั้งที่
๓
โดยกษัตริย์พื้นเมืองตามความชอบธรรมที่เป็นธรรมทายาทของพระพุทธศาสนาในตำนาน
ลาวจกอันเป็นจุดประสงค์ของตำนานทั้งสามเรื่องนี้
ยิ่งพิจารณาโดยชื่อพระเจ้าพรหม ก็มีความชัดเจนว่าเป็นชื่อที่เป็นภาษาทางศาสนา
หาได้มีชื่อที่มีลักษณะของการเป็นผีท้องถิ่น เช่น ลาวจก ลาวเก๊า
ขุนเจือง พระยาร่วง ฯลฯ ไม่ ดังนั้นเรื่องพระเจ้าพรหมจึงเป็นเรื่องเพิ่มขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่มิใช่วัตถุประสงค์หลัก
ดังที่แสดงให้เห็นแล้วในภาพรวมของตำนานทั้งสามเรื่อง
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงลักษณะตำนานของคนไทยอีกเล็กน้อยว่า ตำนานที่เป็นเรื่องยืดยาวหลายเรื่องติดต่อกันนั้น
บางทีต้องมีการสอบค้นพอสมควร ที่จะทราบวัตถุประสงค์หลักที่ตำนานต้องการอธิบาย
ในขณะเดียวกันเรื่องตำนานที่กล่าวอย่างยืดยาวย่อมมีวัตถุประสงค์รองที่ตำนานต้องการอธิบายแทรกอยู่ด้วยเป็นบางตอน
ที่ชัดเจนในตำนานเมืองสุวรรณโคมคำก็คือ การอธิบายที่มาของชนเผ่าผิวดำที่พบอยู่ทั่วไปตามป่าเขาในเอเชียอาคเนย์ว่า
มีที่มาจากพวกขอมดำ ที่ในอดีตเคยมีบ้านเมืองใหญ่บ้างเล็กบ้างอยู่กันมาก่อน
เรื่องเมืองโพธิสารหลวง ก็เป็นคำอธิบายเกี่ยวกับชนชั้นปกครองที่มีอารยธรรมแห่งเมืองนครหลวงกัมพูชา
ว่าสืบมาแต่ราชวงศ์กษัตริย์พระมหาสมมติจากชมพูทวีป ที่เข้ามาแทนที่พวกขอมดำชนพื้นเมืองเดิม
สำหรับตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ และตำนานสิงหนวัติย่อมแต่งขึ้นโดยพระภิกษุผู้ทรงภูมิรู้ในสมัยกษัตริย์ราชวงศ์มังรายครองแว่นแคว้นล้านนา
ซึ่งในสมัยนั้นมีบ้านเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองในภาคกลางที่พระภิกษุเหล่านี้รู้จัก
ที่สำคัญคืออยุธยาและละโว้หรือลพบุรี บ้านเมืองในภาคกลางเหล่านี้ล้วนได้รับพระพุทธศาสนา
และศาสนาของพราหมณ์จากชมพูทวีปมาเป็นเวลานานแล้ว ก่อนเวลาการเขียนตำนานของล้านนา
(เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑) ก็เป็นเวลาร่วม ๑,๐๐๐ ปีมาแล้ว
เวลา ๑,๐๐๐ ปีมิใช่เวลาสั้นๆ จึงน่าเป็นไปได้ที่ความเชื่อใหม่จากชมพูทวีปไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนา
หรือศาสนาของพราหมณ์ได้เข้ามาครอบงำลึกลงถึงรากเหง้า จนคติเดิมเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษพื้นเมืองในท้องถิ่นภาคกลางได้สูญสิ้นไป
ดังนั้นเมื่อภิกษุล้านนาแต่งตำนานที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมืองในภาคกลาง
เช่น เรื่องพระนางจามเทวี จึงเล่าว่าเป็นธิดากษัตริย์แห่งกรุงละโว้
คำว่ากษัตริย์ในตำนานจามเทวีวงศ์นั้นจะหมายถึงอื่นใดมิได้ นอกไปจากหมายถึงราชวงศ์กษัตริย์ผู้สืบสายพระมหาสมมติจากชมพูทวีป
และเช่นเดียวกันกับกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา อันเป็นบ้านเมืองเก่าแก่สืบกันมาในภาคกลาง
จึงได้รับการอธิบายว่า สืบมาจากวงศ์กษัตริย์พระมหาสมมติเช่นเดียวกัน
โดยมีรายละเอียดว่าสืบมาแต่พระเจ้าพรหมแห่งเมืองไชยปราการ (เชียงราย)
ผู้สืบสายมาจากพระเจ้าสิงหนวัติ โอรสกษัตริย์สมมติวงศ์แห่งกรุงราชคฤห์ในชมพูทวีป
หลักฐานที่ชัดเจนเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน
ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๑ ตอนที่กล่าวถึงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่
๑ ความว่า
...จุลศักราช ๙๓๐ ตัว
ฟ้ามังทลาไปรบเมืองอโยธยาได้
แล้วฆ่าพระมหากษัตริย์อโยธยาอันเป็นชาติเชื้อวงศาแห่งพระยาพรหมกุมารเมืองโย
นกนครเชียงแสนนั้นเสีย
แล้วเอาพระยาพิษณุโลกอันเป็นชาติเชื้อเมืองละโว้เก่านั้นไปกินเมืองอโยธยา
สืบไป...
ใคร่ขอเปรียบเทียบ เมื่อตำนานของล้านนากล่าวถึงผู้ครองเมืองสุโขทัยคือพระร่วงหรือพระยาร่วง
เนื่องจากสุโขทัยพัฒนาขึ้นเป็นบ้านเมืองและนับถือพระพุทธศาสนา ก่อนหน้าบ้านเมืองศูนย์กลางของล้านนาเล็กน้อย
ในช่วงเวลาที่มีการเขียนตำนานของล้านนา ทางสุโขทัยก็ยังปรากฏความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษอยู่
(เช่น ขุนจิดขุนจอด ในศิลาจารึกหลักที่ ๔๕) ดังนั้นเมื่อตำนานล้านนาอธิบายต้นตระกูลของราชวงศ์พระร่วง
จึงกล่าวว่าเป็นลูกนางนาคหรือลูกของนางผีเสื้อ มิได้ยกให้เป็นเชื้อสายกษัตริย์สมมติวงศ์จากชมพูทวีป
เหมือนกับกษัตริย์ของบ้านเมืองในภาคกลาง ที่ความเชื่อผีบรรพบุรุษดั้งเดิม
ได้ถูกครอบงำโดยศาสนาจากชมพูทวีปหมดจนไม่เห็นเค้าเดิมแล้ว
กล่าวโดยสรุป เรื่องตำนานพระเจ้าพรหมมิใช่วัตถุประสงค์หลักของคำอธิบายความหมายในตำนานสิงหนวัติ
แต่เสมือนเป็นคำอธิบายเพิ่มเติม ถึงบ้านเมืองที่ล้านนามีความเกี่ยวข้องด้วยขณะที่แต่งตำนาน
เป็นบ้านเมืองที่การเชื่อถือผีบรรพบุรุษดั้งเดิมได้ลบเลือนไปหมดแล้ว
เรื่องพระเจ้าพรหมซึ่งเป็นเชื้อสายสมมติวงศ์ตามคติทางศาสนา จึงได้รับการนำมาอธิบายถึงที่มาของราชวงศ์กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา
ดังนั้นพระเจ้าพรหมจึงมิใช่ผีบรรพบุรุษของชาวล้าน
นาที่นับถือสืบต่อกันมา
แม้ว่ารายละเอียดของเรื่องราวพระเจ้าพรหม เช่น
เรื่องช้างคู่ใจที่ได้มาจากแม่น้ำ
จะมีความเหมือนกันกับเรื่องช้างของขุนเจือง
ผู้เป็นผีแห่งภูมิภาคล้านนาล้านช้าง
ก็มิได้หมายความว่าพระเจ้าพรหมในตำนานจะเข้ามาแทนที่ผีเจือง
เรื่องรายละเอียดที่เหมือนกันเป็นเพียงการยืมเรื่องพื้นเมืองเข้ามาเสริม
เรื่องที่แต่งขึ้นให้มีความพิสดารมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
หรือแม้แต่เรื่องพระเจ้าพรหมปราบขอมดำ
ก็น่าจะมีที่มาจากเรื่องพื้นเมืองดั้งเดิมของสุโขทัย
เรื่องพระร่วงปราบขอมก็เป็นได้
ซึ่งเรื่องหลังนี้น่าจะเป็นเรื่องสมอารมณ์ของการเขียนประวัติศาสตร์แบบรวม
ศูนย์ที่แพร่หลายเรื่องพระเจ้าพรหมเข้าสู่การสืบทอดตามระบบโรงเรียนยิ่งขึ้น
สรุป
จากแนวคิดทางพระพุทธศาสนา
และหลักฐานที่เป็นตำนานสามเรื่อง คือสุวรรณโคมคำ
สิงหนวัติ และลวจกราช (กับตำนานเบ็ดเตล็ด เช่น
ตำนานพระธาตุดอยตุง)
อาจสร้างคำอธิบายได้ว่า
เป็นเรื่องที่ต้องการยกย่องกษัตริย์ในราชวงศ์ของพระเจ้ามังราย
(ซึ่งสืบสายมาจากลวจกราช) ว่า
แม้จะมิใช่วงศ์กษัตริย์ที่มาจากชมพูทวีป
(อินเดีย) เหมือนกษัตริย์ในเรื่องสุวรรณโคมคำและสิงหนวัติ
แต่ก็เป็นกษัตริย์ที่นับถือพระพุทธศาสนา
จึงเป็นธรรมทายาทหรือหน่อพระพุทธเจ้า
อันถือได้ว่าเป็นผู้สืบสายมาจากพระพุทธองค์
เป็นการสืบสายโดยทางธรรมมิใช่โดยสายโลหิตเหมือนวงศ์กษัตริย์
ซึ่งตามแนวคิดทางพระพุทธศาสนาถือว่ามีความสำคัญมากกว่าการสืบสายโลหิต
เพราะวงศ์กษัตริย์ที่เคยปกครองแผ่นดินที่ราบเชียงแสนที่ผ่านมา ๒
วงศ์นั้นก็มิได้เป็นหลักประกันว่าจะต้องเป็นคนดีเสมอไป
ดังที่ตำนานสุวรรณโคมคำและสิงหนวัติกล่าวว่ามีทั้งดีทั้งไม่ดี
ตำนานของล้านนาทั้ง ๓ เรื่อง จึงมีข้อสรุปโดยรวมที่ต้องการเน้นพระธรรมคำสอน
ในส่วนที่ไม่ให้ความสำคัญของชาติตระกูล แต่เห็นความสำคัญของการเป็นธรรมทายาทมากกว่า
หรืออาจกล่าวด้วยสำนวนปัจจุบันว่า เห็นความสำคัญของการสืบสันดานมากกว่าการสืบสายเลือด
เรื่องลาวจกว่าเดิมเป็นชาวเขาอยู่บนดอยตุง
(ไม่นับถือศาสนา)
แต่ต่อมาเมื่อกษัตริย์ในวงศ์สิงหนวัติองค์หนึ่งนำพระธาตุรากขวัญมาไว้บนดอย
ตุง
ลาวจกและเมียได้มีโอกาสเฝ้าปรนนิบัติรักษาเป็นเวลา ๒๐๐ ปีกว่า
จึงได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์
เมื่อถึงเวลาเริ่มต้นจุลศักราช (พ.ศ. ๑๑๘๑)
แผ่นดินเชียงแสนว่างกษัตริย์
(ซึ่งถือว่าต้องสืบสายมาจากวงศ์กษัตริย์ซึ่งมีราชวงศ์เดียวในโลก)
ลาวจกจึงลงจากสวรรค์มาเป็นลวจกราช
ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์มังรายเป็นใหญ่เหนือที่ราบเชียงแสน
ลวจกราชจึงมีความชอบธรรมที่จะเป็นต้นวงศ์กษัตริย์ที่แม้จะมิได้สืบสายเลือด
จากวงศ์กษัตริย์พระมหาสมมติ
แต่สามารถเป็นกษัตริย์ได้เพราะเป็นผู้สืบสายจากพระพุทธองค์
คือเป็นธรรมทายาทนั่นเอง
เรื่องเช่นนี้ชี้ให้เห็นอีกอย่างหนึ่งถึงการผสมผสานความเชื่อท้องถิ่นเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษราชวงศ์มังรายที่มีอยู่ก่อน
เมื่อนำพระพุทธศาสนาเข้ามาจึงไม่อาจนำคติเกี่ยวกับกษัตริย์วงศ์พระมหาสมมติมาลบความเชื่อเรื่องนี้ไปได้
จึงได้มีการปรับเรื่องโดยให้ผีบรรพบุรุษนับถือพระพุทธศาสนาเสียก่อน
เมื่อตายไปขึ้นสวรรค์แล้วจึงได้เป็นกษัตริย์ลงมาครองแผ่นดินได้โดยชอบธรรม
ตามสาระในพระธรรมที่เน้นการให้ความสำคัญในเรื่องการสืบธรรมทายาทมากกว่าการสืบสายกันในวรรณะ
ราชวงศ์ลวจกราชที่สืบมาถึงพระเจ้ามังราย และกษัตริย์ในราชวงศ์นี้ต่อๆ
มา จึงเป็นธรรมทายาท และจะเป็นผู้ค้ำชูพระพุทธศาสนาตลอดไปตราบชั่ว
๕,๐๐๐ พระวสา บนผืนแผ่นดินเชียงแสนที่เคยมีวงศ์กษัตริย์ (ดีบ้าง
ไม่ดีบ้าง) มาปกครองอยู่ ๒ วงศ์ แล้วบ้านเมืองต้องล่มจมหายไปจากแผ่นดินเชียงแสนทั้ง
๒ เมืองก่อนหน้านี้แต่ดึกดำบรรพ์
เมื่อเป็นเช่นนี้จะเห็นว่าเรื่องของพระเจ้าพรหม
นั้น
เป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่องกษัตริย์ที่สืบมาแต่วงศ์กษัตริย์พระมหาสมมติ
ในอัคคัญสูตร
อันมีลักษณะของเรื่องที่ต้องการอธิบายในระดับที่เป็นโลกุตรธรรม
หรือธรรมอันช่วยให้พ้นโลก
แต่ในรายละเอียดของเรื่องที่เล่าย่อมหลีกไม่พ้นการนำเรื่องราวที่เป็นโลกย์
ธรรมไปใส่ไว้
ดังจะเห็นว่าบทบาทบางตอนของพระเจ้าพรหมก็เป็นการยืมเรื่องราวของขุนเจือง
ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษตนหนึ่งของพระเจ้ามังรายไปใช้
ซึ่งถ้าหากพิจารณาให้ลึกลงไปอีกก็จะพบอีกว่า
เรื่องของขุนเจืองบางตอนก็มีความเหมือนกันกับเรื่องของพระเจ้ามังรายด้วย
เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้นอาจกล่าวได้ว่า
พระเจ้าพรหมในตำนานสิงหนวัตินั้น
เป็นบุคคลที่ถูกสร้างขึ้น
โดยมีพื้นฐานของเรื่องราวที่เป็นคติพื้นเมือง
เรื่องขุนเจืองและตำนานเกี่ยวกับพระเจ้ามังราย
ด้วยวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายที่มาของวงศ์กษัตริย์เมืองอื่นที่ชาวล้านนามี
ความสัมพันธ์ด้วย
ซึ่งในที่นี้คือราชวงศ์กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา
และเนื่องจากกรุงศรีอยุธยาอยู่ในภาคกลาง
ที่คติทางศาสนาจากชมพูทวีปเข้ามาแพร่หลายก่อนหน้าการเขียนตำนานของล้านนานับ
พันปี
คติความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับบรรพบุรุษในรูปของผีจึงถูกลบเลือนออกไปจนหมด
สิ้น
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการง่ายสำหรับพระภิกษุผู้ทรงความรู้ของล้านนาผู้แต่งตำนาน
ที่จะอธิบายกษัตริย์ต้นราชวงศ์ของบ้านเมืองเหล่านี้ว่า มีเชื้อสายพระมหาสมมติวงศ์ตามคติทางพระพุทธศาสนา
ไม่เหมือนกับบรรพบุรุษของราชวงศ์พระเจ้ามังราย ที่ความทรงจำเกี่ยวกับต้นผีบรรพบุรุษลาวจกยังคงมีอยู่
เมื่อพระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้ามาจึงต้องใช้ความกลมกลืนกับคติความเชื่อดั้งเดิม
โดยใช้หลักธรรมอีกด้านหนึ่งเกี่ยวกับการเป็นผู้สืบธรรมทายาทจากพระพุทธองค์
มาสวมให้แก่ต้นเค้าผีในคติดั้งเดิม ให้มีความชอบธรรมต่อการเป็นลวจกราช
ต้นราชวงศ์กษัตริย์พื้นเมืองของพระเจ้ามังราย (และผู้สืบราชวงศ์ต่อมาในขณะแต่งตำนานอยู่นั้น)
จึงนับเป็นความสับสนอย่างยิ่ง ที่หากจะมีการดึงบุคคลในระดับโลกุตระให้ลงมาปนเปกับบุคคลในระดับโลกียะ
หมในตำนานของล้านนา